ที่ผ่านมาการเรายังพูดถึงการเทรดน้อยมาก ในวันนี้ผมจึงมาแบ่งปันระบบเทรดแบบ Scalping การเทรดแบบ Scalping เป็นการเทรดที่ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ เนื่องจากต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา แต่ว่าถ้าหากเป็นเงื่อนไขการใช้ EA เป็นระบบเทรดที่ได้รับความนิยม แม้ว่ากราฟที่ใช้ในการเทรด Scalping จะออกมาสวยงาม แต่ว่าการเทรด Scalping ที่ทำกำไรได้จริงกลับมีไม่มากนัก
การเทรดแบบ Scalping คืออะไร?
การเทรดแบบ Scalping คือ การเทรดแบบใช้ระยะเวลาในการถือครองออเดอร์เพียงระยะสั้น ๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงของการคาดการณ์กราฟไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การเทรดแบบ Scalping ก็ยังต้องอาศัยการตั้ง Stop loss เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผิดพลาดอยู่ เพราะว่าเป็นการเก็งกำไรในระยะสั้น ๆทำให้ระยะทางในการทำกำไรนั้นน้อยลงไปด้วย จึงทำให้การเทรดนั้นต้องเทรดด้วย Lot ที่มีขนาดใหญ่
ลักษณะของการเทรด Scalping
การเทรด Scalping เป็นการทำกำไรโดยใช้ความแม่นยำสูง ระยะทางต้องถูกต้อง และที่สำคัญ ขนาด Lot จะต้องขนาดใหญ่พอสมควร โดยที่ Risk ของพอร์ทการลงทุนนั้นไม่ส่งผลกระทบ ซึ่งจากการที่เป็นการทำกำไรในระยะเวลาสั้น ๆ สิ่งสำคัญที่ต้องแลก ได้แก่ ถ้าหากไม่มีการเคลื่อนไหวรุนแรงก็จะไม่เข้าเทรด เพราะว่า ทำให้ความเสี่ยงนั้นเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายปัจจัยที่ทำให้การเทรด Scalping ต้องอาศัยลักษณะเฉพาะ ดังต่อไปนี้
ขนาด Lot ที่มีขนาดใหญ่
ด้วยระยะทางบางครั้งได้ผลตอบแทนเพียง 3 – 5 pip หรือน้อยกว่านั้น ทำให้การเทรด Scalping จะต้องส่งด้วย Lot ที่มีขนาดใหญ่ เมื่อ Lot มีขนาดใหญ่ ถ้าหากมีการเคลื่อนไหวผิดทิศทาง พอร์ทอาจจะได้รับความเสียหายอันใหญ่หลวงได้ สิ่งที่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง คือ การตั้ง Stop loss เพื่อป้องกันความเสียหายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เทรดเดอร์ควรรู้คือ ระยะในการตั้ง Stop loss ของแต่ละ Broker นั้นมีระยะทางไม่เท่ากัน ระยะทางขั้นต่ำ สำหรับบางโบรคเกอร์นั้นอาจจะต้องตั้งให้ได้ 10 pip หรือ 100 point ขณะที่บางโบรคเกอร์จะสามารถตั้งได้ใกล้ถึง 5 pip หรือประมาณ 58 point ซึ่งสำหรับการตั้ง Stop loss ใกล้ ๆ ขนาดนี้ แทบจะไม่มีผลในการเทรดมือ เพราะว่า กดตั้ง Stop loss แทบจะไม่ทันในระยะเวลาอันใกล้นั่นเอง ดังนั้น การตั้ง Stop loss ต้องเลือกโบรคเกอร์ให้เหมาะสมด้วย
เทรดเมื่อกราฟมีการเคลื่อนไหวรุนแรง
การเทรดเมื่อกราฟมีความเคลื่อนไหวรุนแรง เนื่องจาก การเทรด Scalping สามารถเทรดได้ 2 แบบ คือ ช่วงที่กราฟเคลื่อนไหวรุนแรง และช่วงที่กราฟเคลื่อนไหวสงบนิ่ง ถ้าหากว่าจะเทรดกราฟเคลื่อนไหวรุนแรง คุณต้องรู้ทิศทางของการเคลื่อนไหวของกราฟที่แน่นอน ระหว่างนั้น สิ่งที่เป็นปัญหาตามมาสำหรับบางโบรคเกอร์ หรือ โบรคเกอร์ส่วนใหญ่ คือ ปัญหา Spread ที่ถ่างออกในช่วงเวลาที่กราฟเคลื่อนไหวรุนแรง การเลือกโบรคเกอร์ก็ต้องหาโบรคเกอร์ที่เหมาะสมกับเงื่อนไขในการ Scalping ด้วย
เทรดโบรคเกอร์ที่มี Spread ต่ำและอนุญาติให้ Scalping
สำหรับอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ Scalping เทรดได้ในช่วงเวลาปกติก็คือ การเทรด Swing หรือเทรนด์ใน Time Frame ต่ำ ๆ เช่น กราฟ 1 นาที กราฟ 5 นาที กราฟ 15 นาทีเป็นต้น โดยการเทรดกราฟใน Time Frame ต่ำ ๆ แบบนี้สิ่งที่เราต้องใช้คือ Broker ที่มี Spread ต่ำ ๆ ระดับ 0.5 – 0.7 pip เมื่อ Spread ต่ำมาก ๆ จึงจะสามารถเทรดได้เพราะว่า ต้นทุนของการเทรดนั้นยังพอทำกำไรได้ แต่ถ้าหาก Spread สูง ทำให้การเทรดนั้นจะต้องเผชิญความเสี่ยงมหาศาลในการเทรด
ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ลักษณะที่สำคัญของการเทรด 3 ข้อที่กล่าวมานั้นจะเกี่ยวข้องกับ โบรคเกอร์และการเลือกโบรคเกอร์ เพื่อให้การเทรดแบบ Scalping นั้นเป็นไปได้ โดยลักษณะที่สำคัญ ได้แก่ Spread ของ โบรคเกอร์และค่าเงิน เงื่อนไขการเทรดระบบที่ต้องตั้งให้เหมาะสมด้วย
สิ่งที่ต้องมีในระบบ Scalping
สิ่งที่ต้องมีในระบบ Scalping ที่ดี คือ Stop loss เพราะการตั้ง Stop loss คือการป้องกันการขาดทุนในจำนวนมหาศาล และทำให้การเทรดนั้นเป็นระบบมากขึ้น การตั้ง Stop loss ทำให้เราต้องออกแบบระบบที่เกี่ยวข้องกับ Risk Reward และต้องมาคำนวณว่า Stop loss 1 ครั้งคิดเป็นกี่ % ของพอร์ทลงทุน นอกจากนี้ต้องหา Drawdown และ Consecutive Loss เผื่อไว้เพื่อรองรับสภาพจิตใจที่อาจจะผันผวน และไม่กล้าเทรดอีกหลังจากเทรดไป 30 ครั้งแล้วขาดทุนติดกันหมด ถ้าหากเราไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย เราจะมีสภาพจิตใจที่ล้มเหลว สิ่งเหล่านี้จะทราบได้จากการทำ Back Test ครอบคลุมระยะเวลาต่าง ๆ ยาวนาน หลักหลายปี ซึ่งเทรดเดอร์จะต้องเป็นคนทำเอง
ขอบคุณ : https://www.thailandtraderclub.com/index.php/topic,352.0.html